Venice มีอะไรให้ดู

เชื่อว่าเวนิสน่าจะเป็นเมืองในดวงใจของหลาย ๆ คน ที่อยากจะแวะไปสักครั้ง ก่อนที่มันจะจมหายไป ถึงแม้ว่าเวนิสจะเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่นักท่องเที่ยวจะหนาแน่นมาก ๆ เพียงแค่ไม่กี่จุดเท่านั้น ทำให้เวนิสยังพอจะมีพื้นที่ให้ได้สำรวจเสน่ห์ของมัน ถ้าอยากจะเห็นเสน่ห์ที่แท้จริงของเวนิสน่าจะมีเวลาเดินเที่ยวเวนิสมากกว่า 1 วัน และให้ลองไปในย่านที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวดู

มาดูแผนที่เวนิสกันก่อนนะคะ

(แผนที่จาก lonelyplanet)

เกาะเวนิสแบ่งออกเป็น 6 เขต

  • Santa Croce — เริ่มจากแถวสถานีรถบัส (Piazzale Roma), ลานจอดรถ ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะโมเดิร์น Ca’ Pesaro
  • Cannaregio — สถานีรถไฟ (Santa Lucia หรือ Ferrovia), ส่วนใหญ่เป็นย่านที่อยู่อาศัย, ที่ตั้งของโบสถ์ Madonna dell’Orto
  • San Polo — มีตลาด Rialto ก่อนที่จะข้ามสะพาน Rialto เพื่อข้ามไปฝั่ง San Marco
  • San Marco — เป็นย่านท่องเที่ยวโดยเฉพาะแถวจตุรัสซานมาร์โค (St. Mark´s Square) ที่ตั้งของ Saint Mark’s Basilica, Doge’s Palace, Museo Correr
  • Castello — ถัดจาก San Marco ไปทางตะวันออก มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่และสนามเด็กเล่น
  • Dorsoduro — ย่านตะวันตกเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย และพิพิธภัณฑ์ขึ้นชื่อของเมือง คือ Gallerie dell’Accademia และ Peggy Guggenheim Collection

จะสังเกตเห็นว่าที่อยู่ในเวนิส นอกจากจะมีชื่อถนนและเลขที่บ้านแล้ว ก็จะมีชื่อย่านกำกับอยู่ด้วย และอาจจะต้องปวดหัวกับการหาเลขที่บ้านอยู่สักหน่อย เพราะเลขที่บ้านเลขคี่กับเลขคู่นั้น ไม่ได้อยู่กันคนละฝั่งเสมอไป

** * นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะกระจุกกันหนาแน่นแถวสะพาน Rialto และ St. Mark´s Square ส่วนตัวแล้วย่านที่ชอบมากคือแถว ๆ Accademia จนถึงแถวท่าเรือ S.Toma ในย่าน Dorsoduro ที่ส่วนใหญ่มีแต่คนท้องถิ่น แต่ก็ยังคงความคึกคักอยู่ไม่น้อย

จากสถานีรถบัสและสถานีรถไฟ เดินไป St. Mark´s Square ได้ 2 ทาง คือ เดินไปย่าน Santa Croce/ San Polo แล้วข้ามสะพาน Rialto หรือไม่ก็เดินไปย่าน Dorsoduro แล้วข้ามสะพานไม้ Accademia ซึ่งเส้นทางหลังนี่จะเห็นคนในท้องที่เป็นส่วนใหญ่


การเดินทางในเวนิส

เดินเท้า

การเดินหลงในเวนิสถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะถนนที่ดูเหมือนจะถูกสร้างตามอำเภอใจ พร้อมด้วยสะพานเล็กสะพานน้อยเกือบ 400 แห่งที่ทำให้การเดินข้ามฝั่งคลองหลาย ๆ แห่งเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่! ก็มีอยู่บ่อยครั้งที่สุดปลายถนนเล็ก ๆ จะไม่มีสะพานให้ข้ามฝั่ง ต้องวกกลับไปหาทางใหม่เดิน เป็นการเล่น labyrinth เขาวงกตย่อม ๆ เลย

แต่ถ้าจะไปตามสถานที่สำคัญ ๆ แล้ว ไปได้ง่ายมาก เพราะมีป้ายบอกทางข้างตึกเป็นระยะ ๆ เทคนิคคือ ให้สังเกตป้ายบอกทางให้ดีนั่นเอง ป้ายชี้ทางที่เห็นบ่อย ๆ คือ

Rialto, San Marco (หรือ St. Mark), Accademia, P.le Roma (สถานีรถบัส), Ferrovia (สถานีรถไฟ), vaporetto (ท่าเรือ)

จำแค่นี้ก็จะไม่มีทางหลงแน่นอน และหลังจากที่เดินผ่านทางเดิมประมาณ 3 ครั้ง แล้วก็น่าจะจำทางได้เอง อันนี้จากประสบการณ์ของคนที่หลงทางเป็นประจำ 

ป้ายบอกทางตามผนังตึก เป็นระยะ ๆ

นั่งเรือ

การนั่งเรือก็แสนจะสะดวกและง่ายมาก ถ้ารู้ตารางเดินเรือว่าต้องขึ้นสายไหน ไปรอเรือท่าเรือไหน สำหรับท่าเรือใหญ่ ๆ เช่นที่ สถานีรถไฟ (Ferrovia) หรือที่ S. Marco ท่าเรือจะแบ่งออกเป็นตัว A, B, C, D, E ก็ต้องไปยืนรอให้ถูกที่ เรือที่มาเทียบท่าจะขึ้นป้ายบอกว่าเป็นหมายเลขอะไรและจะไปที่ไหนบ้าง และสมควรอย่างมากที่ต้องซื้อตั๋วรายวัน (ACTV Tourist Travel Card) ถ้าคิดว่าจะนั่งเรือบ่อย

ตั๋วเรือรายวันจะแบ่งเป็นแบบ 1, 2, 3, 7 วัน โดยคิดตามรายชั่วโมง เช่น ตั๋ว 1 วันใช้ได้ 24 ชั่วโมง ถ้า validate ตั๋วตอน 9 โมงวันนี้ก็จะสามารถใช้ตั๋วไปจนถึง 9 โมงเช้าของวันพรุ่งนี้ สามารถซื้อตั๋วได้ง่าย ๆ ผ่านตู้ซื้อตั๋วของ ACTV ตามท่าเรือใหญ่ ๆ ไม่ก็ไปซื้อที่เคาน์เตอร์ได้โดยตรง

สำหรับเด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไปจนถึงผู้ใหญ่อายุ 29 ปี จะมีตั๋วราคาพิเศษชื่อ Rolling Venice สำหรับ 3 วัน ราคาเพียง 22 ยูโร จากปกติ 40 ยูโร

พอได้ตั๋วมา เราก็ต้องไปทำการ Validate ตั๋วก่อน โดยเอาตั๋วไปแตะที่เครื่องอ่านตั๋วสีขาวเล็ก ๆ ที่อยู่แถว ๆ ท่าเรือ แล้วหน้าจอเครื่องจะบอกว่าตั๋วเราใช้งานได้แล้ว

*** ถ้าหาซื้อตั๋วไม่ทันก่อนขึ้นเรือ ก็สามารถซื้อตั๋วกับเจ้าหน้าที่บนเรือที่เป็นคนคอยเปิดปิดประตูเรือ แต่ต้องซื้อทันทีหลังจากขึ้นเรือและต้องจ่ายเป็นเงินสด (คิดว่าคงซื้อได้แต่ตั๋วแบบธรรมดาเท่านั้น) เพราะจะถูกปรับถ้าโดนตรวจตั๋วแล้วไม่มีตั๋วอยู่ในมือ

สายเรือสำหรับนักท่องเที่ยวที่ใช้บ่อย ๆ คือ สาย 1 และ 2 ที่ออกจากสถานีรถบัสและสถานีรถไฟ ผ่านไปยังสะพาน Rialto และ  S. Marco ข้อแตกต่างระหว่าง 2 สายนี้ คือ สาย 1 จอดป้ายเยอะกว่า แล่นตั้งแต่เช้ายันดึก ส่วนสาย 2 จอดป้ายน้อยกว่าและแล่นจาก Rialto ไป  S. Marco ช่วงหน้าหนาวแค่ตอน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นเท่านั้น

นอกจากนี้ก็มีสาย 4.2 ไป Murano เมืองเป่าแก้ว และสาย 12 ไป Murano และ Burano (หมู่บ้านชาวประมง)

เรือเมล์ มีสายเรือและจุดหมายปลายทางขึ้นตรงจอข้างเรือ
เรือบางลำมีป้ายติดข้างเรือว่าจะจอดที่ท่าเรือไหนบ้าง
ห้องผู้โดยสารอยู่ตรงกลางเรือ บางลำมีที่นั่งรับลมด้านนอกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

จากสนามบิน Marco Polo ไปเวนิส

ไปได้ทั้งทางเรือ และรถบัส ทางเรือจะแพงกว่าและใช้เวลานานกว่า

มีทั้งเรือแท็กซี่ที่แพงหูฉี่ และเรือ Alilaguna ที่คิดราคา 15 ยูโรสำหรับตั๋วเที่ยวเดียวไปเวนิส ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงไปลงที่ Rialto หรือ 75 นาที ไปลงที่ S. Marco ส่วนราคาตั๋วไปกลับนั้นอยู่ที่ 27 ยูโร นอกจากนี้ยังมีตั๋ววันขายด้วย

สำหรับรถบัสจะใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเท่านั้นไปลงที่สถานีขนส่ง (Piazzale Roma) มีรถบัส 2 เจ้าให้เลือก คือ รถบัสรัฐบาล ACTV เบอร์ 5 กับรถบัสเอกชน ATVO (Venice Airport Bus Express) ทั้งสองเจ้าราคาเท่ากันคือ 8 ยูโรสำหรับตั๋วเที่ยวเดียวไปเกาะเวนิส ข้อแตกต่างของสองเจ้านี้คือ ATVO ไม่จอดแวะกลางทาง และมีช่องเก็บกระเป๋าเดินทางที่ใต้ท้องรถ แต่ถ้าสัมภาระไม่เยอะหรือไม่ใหญ่มาก นั่ง ACTV ธรรมดาก็สะดวกพอกันนะ

* * * สิ่งที่ตลกมาก ๆ คือ ถ้านั่งรถบัส ACTV เบอร์ 5 จากป้ายที่ห่างจากสนามบินไปแค่ 1 ป้าย เข้าเมืองเวนิส จะเสียค่าตั๋วแค่ 3 ยูโรเท่านั้นถ้าซื้อตั๋วบนรถ หรือเพียงแค่ 1.50 ยูโรถ้าซื้อก่อนขึ้นรถ!!!


มีอะไรน่าเที่ยวในเวนิส

1. จตุรัสซานมาร์โค (St. Mark´s Square/ San Marco)

เป็นจุดที่พลาดไม่ได้ในเวนิส ที่สำคัญ ๆ มี

  • Saint Mark’s Basilica (มหาวิหารซานมาร์โค) เข้าได้ฟรี เปิดตั้งแต่ 9 โมงครึ่ง อนุญาตให้เอากระเป๋าใบเล็ก ๆ เข้าไปเท่านั้น และห้ามใส่เสื้อแขนกุดและกระโปรงสั้นเหนือเข่า ถ้าเข้าตั้งแต่ตอนประตูเปิดจะดีมาก จะได้ไม่ต้องต่อแถวนาน เพราะถ้าคนเยอะอาจจะหงุดหงิดที่ต้องเดินไหลไปตามแถวเรื่อย ๆ แต่ในเดือนเมษายนถึงตุลาคมจะสามารถ จองคิวเข้าชมมหาวิหารล่วงหน้า ได้ในราคา 3 ยูโร และถ้าอยากจะดูเพดานโมเสกของมหาวิหารใกล้ ๆ พร้อมดูวิวจตุรัสซานมาร์โคจากระเบียง Loggia dei Cavalli แล้ว ต้องขึ้นบันไดชัน ๆ ข้างประตูมหาวิหาร ไปที่  Museo di San Marco (St. Mark´s Museum) และเสียค่าเข้า 5 ยูโร
  • Bell Tower หอระฆังดูวิวเมือง — แต่ความจริงแล้วนั่งเรือข้ามฝั่งไปเกาะที่อยู่ตรงข้าม San Marco ที่หอระฆังโบสถ์ Church of San Giorgio Maggiore จะเห็นวิวเกาะเวนิสทั้งเมือง และคนพลุกพล่านน้อยกว่ามาก
  • Doge’s Palace วังของ”ดอจ” หรือเจ้าเมืองในสมัยก่อน หรูหรา แสดงอำนาจและความมั่งคั่งของเวนิสในเวลานั้นได้เป็นอย่างดี น่าจะเป็นสวรรค์สำหรับคนที่เรียนทางรัฐประศาสศาสตร์/รัฐศาสตร์ เพราะจะได้เห็นห้องที่เป็นต้นกำเนิดของระบบการเมืองปกครองสมัยปัจจุบันของยุโรป ในวังยังมีคุกใต้ดิน และสะพานถอนหายใจ Bridge of Sighs (Ponte dei Sospiri) เป็นสะพานที่นักโทษทุกคนต้องเดินผ่านจากพระราชวังดอจไปที่คุกใต้ดิน จากสะพานนี้นักโทษจะได้เห็นวิวเมืองก่อนถูกคุมตัว เลยเป็นที่มาของชื่อสะพานนั่นเอง
  • Museo Correr

สมควรอย่างมากที่จะซื้อ Museum Pass (Musei Civici Venezia) ราคา 35 ยูโร ที่สามารถเข้ามิวเซียมของเทศบาลเวนิสรวมถึงที่ Murano, Burano ได้ฟรี มีพาสนี้ไม่ต้องต่อแถวเข้าคิวซื้อตั๋ว ประหยัดเวลาเที่ยวได้เยอะ ถ้าแวะที่พระราชวังดอจ กับ Museo Correr ก็คุ้มค่าตั๋วแล้ว นอกจากนี้ก็มีตั๋วแบบ 25ยูโร ที่เข้าได้เฉพาะมิวเซียมที่จตุรัสซานมาร์โค

St. Mark´s Square (San Marco)

2. Rialto

สะพานรีอัลโต และตลาดรีอัลโต ขายผักผลไม้ และอาหารสด

แถวสะพานรีอัลโตในบางครั้งมีการจราจรหนาแน่นมาก จนแทบจะเดินแซงคนข้างหน้าไม่ได้ คิดว่าช่วงหน้าร้อนคนคงจะเยอะมาก ๆ กว่านี้แน่นอน แถว ๆ นี้มีร้านขายของที่ระลึกเต็มไปหมด สะพานรีอัลโตมีชื่อเสียงตรงที่เป็นสะพานมีหลังคาและสองข้างทางบนสะพานเต็มไปด้วยร้านรวงต่าง ๆ


3. โบสถ์

โบสถ์ต่าง ๆ ที่มีภาพวาดสำคัญ ๆ ของศิลปินชาวเวนิส เช่น

  • Santa Maria Gloriosa dei Frari กับ ภาพชิ้นเอกของ Titian คือ ภาพพระแม่มารีกำลังขึ้นสวรรค์ (Assumption of the Virgin)
  • Santa Maria Della Salute เป็นโบสถ์ที่สร้างเพื่อถวายแก้บนที่พระแม่มารีได้ทำให้โรคระบาดครั้งใหญ่หมดไปจากเมือง โรคระบาดในปี 1630 นั้นได้คร่าชีวิตผู้คนในเวนิสกว่า 1 ใน 3 ของประชากรในเมือง ที่นี่มีรูปแกะสลักของ Josse de Corte เป็นรูปพระแม่มารีช่วยปัดเป่าโรคร้าย (the Queen of Heaven expelling the Plague)
  • Madonna dell’Orto กับหลาย ๆ ภาพของ Tintoretto ศิลปินที่มีมุมมองแหวกแนวกว่าศิลปินคนอื่น ๆ ในสมัยนั้น เช่น ภาพ Presentation of the Virgin in the Temple (พระแม่มารีตอนเด็กเดินขึ้นโบสถ์เอง), ภาพ The Miracle of St Agnes, และภาพ The last Judgment
  • Church of San Giorgio Maggiore บนเกาะ S. Giorgio ที่อยู่ตรงข้ามกับจตุรัสซานมาร์โค ต้องนั่งเรือสาย 2 ข้ามไป มีภาพ The Last Supper ของ Tintoretto และหอระฆังที่สามารถเห็นวิวเกาะเวนิสทั้งเกาะ
  • Santa Maria dei Miracoli โบสถ์หินอ่อน อารมณ์หวาน ๆ สวยงาม แปลกตากว่าโบสถ์อื่น ๆ
  • Santi Giovanni e Paolo หรือ San Zanipolo โบสถ์นิกาย Dominican ถือว่าใหญ่และสำคัญเป็นอันดับ 2 รองจากมหาวิหารซานมาร์โค มีหลุมฝังศพของเจ้าเมืองเวนิสถึง 25 คน หน้าโบสถ์มีรูปหล่อของแม่ทัพเอก Bartolomeo Colleoni

โบสถ์หลายแห่งเสียค่าเข้าชม 3 ยูโร ถ้าต้องการเข้าชมโบสถ์หลาย ๆ ที่ การซื้อ Chorus Pass สำหรับเข้าชมโบสถ์ 16 แห่ง ในราคา 12 ยูโรก็นับว่าคุ้มทีเดียว

โบสถ์หินอ่อน Santa Maria dei Miracoli

4. พิพิธภัณฑ์

พิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจหลาย ๆ ที่ใช้ Museum Pass ไม่ได้ ต้องซื้อตั๋วแยกต่างหาก

  • ศิลปะแบบเวนิส
    • Gallerie dell’Accademia ที่นี่รวมทุกอย่างเกี่ยวกับงานศิลปะของศิลปินชาวเวนิส พลาดไม่ได้เด็ดขาดถ้าอยากรู้เกี่ยวกับศิลปินในอดีตของเมือง แถมตอนนี้ยังมีผลงานของ Jheronimus Bosch ศิลปินดัชต์สุดแปลกแหวกแนวสมัย 500 ปีก่อนกับภาพวาดแฟนตาซีในโลกของนรก
    • Scuola Grande di San Rocco ถือว่าเป็นมิวเซียมขนาดย่อม ๆ ของ Tintoretto การที่ได้เห็นภาพวาดขนาดใหญ่ยักษ์กับตึกเวนิสที่หรูหราในสมัยก่อนถือว่าคุ้มทีเดียว
  • ศิลปะแบบโมเดิร์น
    • Ca’ Pesaro  (The International Gallery of Modern Art) สามารถใช้ museum pass ได้ มีภาพวาดของ Picasso, Klimt, Kandinsky, Klee, Chagall, Matisse และงานปั้นของ Rodin, Rosso ชั้นบนรวบรวมวัตถุมีค่าสมัยก่อนจากญี่ปุ่นและอินโดนีเซีย เช่น ดาบซามูไร ชุดเกราะ เครื่องปั้นดินเผา กิโมโน ชั้นล่างมิวเซียมมีคาเฟ่ริมน้ำไว้ดูวิวเพลิน ๆ อีกด้วย
    • Peggy Guggenheim Collection มีผลงานของ Picasso, Mondrian, Kandinsky, Klee, Ernst, Magritte, Dalí และอื่น ๆ อีกมากมาย
    • Palazzo Grassi พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย
  • อื่น ๆ
Peggy Guggenheim Collection

5. สะพาน

เวนิสได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสะพาน เพราะมีสะพานทั้งหมดในเกาะอยู่ถึง 391 สะพาน รวมถึงสะพานส่วนตัว 72 สะพานที่ตรงดิ่งไปยังประตูเจ้าของบ้านเลย นอกจาก Rialto Bridge และ Bridge of Sighs แล้วก็มีสะพานที่น่าสนใจอื่น ๆ ดังนี้

  • Academy Bridge (Ponte dell Accademia) ย่าน Dorsoduro สะพานไม้โค้งสูงที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ตอนไปเที่ยวนั้นมีการซ่อมแซมสะพาน แต่ก็สามารถเดินข้ามสะพานได้
  • Scalzi Bridge (Ponte degli Scalzi) อยู่ใกล้ ๆ โบสถ์ Chiesa degli Scalzi เป็นสะพานหินเชื่อมย่าน Santa Croce กับ Cannaregio
  • Calatrava Bridge (Ponte della Constituzione) สะพานโมเดิร์นที่สุดในเมือง เชื่อมสถานีรถบัสกับสถานีรถไฟ สร้างเสร็จเมื่อปี 2008 ด้วยมูลค่าถึง 10 ล้านยูโร ออกแบบโดยสถาปนิคชื่อดังชาวสเปน Santiago Calatrava
  • Ponte della Paglia เป็นสะพานที่คนมักจะมายืนดู Bridge of Sighs
  • Ponte della Liberta สะพานยาวที่เชื่อมเกาะเวนิสกับชายฝั่ง รถไฟ รถบัส รถราง รถยนต์จะข้ามสะพานนี้เพื่อเข้าสู่เกาะเวนิส สะพานนี้เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1933

ปิดท้ายกับสถานที่สำคัญ ๆ ตามหมายเลขสีแดงนะคะ ลองไปเดินเที่ยวกันดู

1. สถานีรถบัส (Piazzale Roma)

2. สวนสาธารณะ Giardini Papadopoli มีสนามเด็กเล่น

3. สะพานโมเดิร์น Ponte della Constituzione

4. สถานีรถไฟ (Santa Lucia หรือ Ferrovia)

5. สะพาน Ponte degli Scalzi

6. Natural History Museum (Museo di Storia Naturale)

7. พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Ca’ Pesaro

8. ตลาด Rialto

9. สะพาน Rialto 

10. จตุรัส San Marco

11. Naval Historical Museum

12. Arsenale

13. โบสถ์ Santi Giovanni e Paolo

14. โบสถ์หินอ่อน Santa Maria dei Miracoli

15. พิพิธภัณฑ์ Galleria Giorgio Franchetti alla Ca’ d’Oro

16. โบสถ์ Madonna dell’Orto กับภาพวาดของ Tintoretto

17. The Jewish Museum of Venice

18. โบสถ์ Basilica di Santa Maria Gloriosa dei Frari

19. Scuola Grande di San Rocco

20. มหาวิทยาลัย Università Ca’ Foscari

21. เรือขายผักผลไม้ข้างสะพาน Ponte dei Pugni

22. สะพานไม้ Accademia

23. พิพิธภัณฑ์ศิลปินเวนิส Gallerie dell’Accademia

24. Guggenheim Museum

25. โบสถ์ Santa Maria Della Salute

26. พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย Palazzo Grassi

27. Church of San Giorgio Maggiore ดูวิวเกาะเวนิส


(เดินทางปี 2018, อัพเดตข้อมูลปี 2020)