บูราโน่เป็นหมู่บ้านชาวประมงสีสันสดใส ตั้งอยู่บนเกาะที่อยู่ห่างจากเมืองเวนิส ประมาณ 40 นาทีในการโดยสารทางเรือเมล์สาย 12 จากท่าเรือ F.te Nove หรือจะลงที่ท่าเรือ Mazzorbo แล้วเดินข้ามสะพานเล็ก ๆ มาที่ Burano ก็ได้
พวกเรามาเที่ยว Burano ตอนปลายมกราคม อากาศเย็น ๆ ประมาณ 5 องศา แถมหมอกยังลงตั้งแต่เช้าที่เวนิส จนแทบจะมองไม่เห็นอะไร แต่มันก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ … ในแบบที่นักท่องเที่ยวส่วนมากคงจะไม่ค่อยได้เห็นกัน ข้อดีของการมาเที่ยวหน้าหนาวก็คงเป็นอย่างนี้นี่เอง
พวกเรานั่งเรือแถวโรงแรมมาลงที่ท่าเรือตรงสถานีรถไฟ ตั้งใจจะขึ้นเรือไปลงที่ F.te Nove ซึ่งเรือสาย 12 มีต้นสายอยู่ที่นี่ รอไปสักพักมีเรือมาจอดเทียบท่า แต่ไม่ยักจะมีเลขขึ้นข้างเรือว่าเป็นเรือสายอะไร ไปที่ไหน เจ้าหน้าที่บนเรือบอกแต่ว่าเรือลำนี้จะไป Murano เมืองเป่าแก้ว เราก็เลยขึ้นเรือลำนี้กัน เรือแล่นมาสุดสายที่ท่าเรือ Murano แล้วเราก็เดินไปที่ท่าเรือ Murano Faro เพื่อขึ้นเรือต่อไปยัง Burano
ระหว่างการเดินทางบนเรือ เห็นแค่ … เรือกับน้ำ …
… และ เป็ด … ที่ว่ายกันอย่างไม่สะเทือนกับความหนาว
ลูกขอยืนด้านนอก เลยได้ถ่ายรูปวิวมา โรแมนติกไปอีกแบบ ดูตารางเวลาเรือเมล์ อีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง Burano ถ้ายืนข้างนอกคงได้หนาวตายกันแน่ เลยไปนั่งด้านในห้องโดยสาร พอเปิดประตูเข้าไปก็ต้องแปลกใจเพราะขนาดอากาศเย็นอย่างนี้ ที่นั่งด้านในเรือยังเกือบจะเต็ม คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าหน้าร้อนนักท่องเที่ยวจะเยอะขนาดไหน ตอนนั้นเกือบ 11 โมง เลยให้ลูกกินบลูเบอรี่กับแซนวิชที่เตรียมเอาไว้รองท้อง
เดินออกจากท่าเรือ ก็จะเจอรูปปั้นนี้ ว่ากันว่าเป็นรูปปั้นผู้หญิงที่กำลังเศร้าเสียใจที่คนรักหายสาบสูญไปในทะเล
อากาศหนาวมาก เลยมองหาร้านที่มีเครื่องดื่มอุ่น ๆ ไว้นั่งพักคลายหนาว พอดีเดินผ่านร้านนี้ มีป้ายติดหน้าร้านเป็นภาษาอังกฤษว่า hot chocolate เลยเดินเข้าไปในร้านทันที ด้านในเป็นร้านเล็ก ๆ มีโต๊ะไม่เกิน 10 ตัว มีลูกค้าในร้าน 4-5 คน ทั้งหมดเป็นชายสูงอายุ … ที่เคาน์เตอร์บาร์หลังร้านมีพนักงานผู้ชายท่าทางเป็นมิตรอยู่หนึ่งคน พวกเราสั่งช็อคโกแล็ตร้อน … ปรากฏว่ามันเป็นช็อคโกแลตร้อนที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยดื่มมาเลย!
รสชาติเข้มข้น หวานกำลังดี เหมือนว่าช็อกโกแล็ตร้อนที่อิตาลีจะไม่ได้ใส่นม แต่ทำยังไงให้มันข้นได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ
พวกเรานั่งกันอยู่ในร้าน Laguna Bar ราว ๆ 20 นาทีได้ ก็สังเกตว่าไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าร้านนี้เลย ลูกค้าที่เข้าร้านส่วนใหญ่เป็นผู้ชายวัยเกษียณ น่าจะเป็นคนในหมู่บ้านที่รู้จักกับพนักงานเป็นอย่างดี รู้สึกว่าตัวเองได้เป็นส่วนหนึ่งของคนที่นี่ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
พวกเราเดินออกมาจากร้าน นักท่องเที่ยวก็เริ่มบางตาลงแล้ว แต่ยังพอเห็นนั่งท่องเที่ยวบางคนที่นั่งเรือมาพร้อมกับพวกเราอยู่บ้าง การมาเที่ยวที่นี่ไม่ได้วางแผนอะไรเลย รู้แต่ว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวประมง และขึ้นชื่อในเรื่องการทำผ้าลูกไม้ พอดีวันนั้นเป็นวันจันทร์ พิพิธภัณฑ์ผ้าลูกไม้ Lace Museum ปิดพอดี พวกเราเลยเดินเล่นกันไปเรื่อย ๆ
แวะเข้า Chiesa di San Martino โบสถ์ประจำหมู่บ้านก่อน เข้าไปไม่มีใครเลย พวกเราแวะจุดเทียนเป็นอันดับแรก แล้วก็เดินเล่นในโบสถ์ … เสียงระฆังโบสถ์ดังบอกเวลาเที่ยงตรง มีเจ้าหน้าที่มาเดินดับเทียนที่ใกล้จะมอดแล้ว แล้วก็พูดอะไรสักอย่าง คิดว่าเขาน่าจะบอกว่าโบสถ์จะปิด เลยเดินตามเจ้าหน้าที่ออกไป เจ้าหน้าที่ใจดีเปิดประตูให้พวกเราสองแม่ลูกด้วย ดูเวลาที่ติดไว้ตรงประตูโบสถ์ เขาปิดโบสถ์ตอนเที่ยง เปิดใหม่ตอนบ่ายสาม โบสถ์บางแห่งในเวนิสก็ปิดพักเวลานี้เหมือนกัน
โบสถ์ Chiesa di San Martino ที่เพิ่งมารู้ทีหลังว่าหอระฆังที่นี่มันเอนด้วย ตอนนั้นไม่ได้สังเกตหอระฆังเพราะหมอกบังมิดเลย
พอออกจากโบสถ์ ก็เดินเล่นรอบ ๆ หมู่บ้าน
เจอเรือพยาบาล
นกน่าจะกำลังกินแป้งทีคนทำตกไว้
นี่น่าจะเป็นแคทวอร์คอย่างแท้จริง
แมวเดินอย่างนวยนาดมาก ตัวอ้วนท้วนสมบูรณ์ ท่าทางจะถูกเลี้ยงมาอย่างดี
นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว คนที่นี่ก็ใช้ชีวิตในวันทำงานกันตามปกติ
บริการส่งของ ขนพัสดุออกจากเรือส่งของ
แล้วนำไปส่งให้ชาวบ้าน
คนผิวสีส่งใบปลิวตามตู้จดหมายของบ้านแต่ละหลัง
ชาวประมงกำลังเตรียมแหจับปลา
ร้านขายของชำ
ซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็ก ๆ สัญชาติดัตช์ ตรงประตูร้านติดป้ายห้ามถ่ายภาพในร้าน
ลูกสงสัยว่าทำไมชาวประมงไม่จับปลากันวันนี้
เห็นแต่เรือกับอุปกรณ์จับปลา
มีอุปกรณ์จับปลาอยู่ตามหน้าประตูบ้านหลายหลัง
ช่างลับมีด กับอุปกรณ์อันเก๋ไก๋ของเขา …
ตอนที่พวกเรากำลังเดิน ๆ กันอยู่ อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงคล้ายวิทยุกระจายเสียง ดังมาก ๆ แน่นอนว่าเป็นภาษาอิตาเลียนที่เราไม่รู้ความหมาย ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ลูกบอกแม่ว่าเสียงมันอยู่ทางนี้ เราทั้งคู่เลยเดินหาต้นตอของเสียงกัน แล้วก็มาพบกับภาพด้านบน
ตอนที่ไปถึง เสียงวิทยุเพิ่งจะหยุดลง เห็นแต่คนกำลังลับมีด คิดว่าเขาน่าจะเปิดเสียงโฆษณาลับมีด พอมีลูกค้ามาเขาก็จะปิดเสียง (สังเกตจากโทรโข่งในรถเข็นเด็ก) พวกเราก็ยืนมองเขาทำงานกันพักใหญ่ ๆ มีการลับกรรไกรด้วย พอลับกรรไกรเสร็จเขาก็ลองเอากรรไกรตัดผ้าให้ดูทันทีว่าคมแล้วนะ
พอลูกค้าจ่ายเงิน คู่หูคู่นี้ก็เดินไปที่อื่นต่อ พร้อมกับเปิดวิทยุกระจายเสียงของเขา แล้วก็เดินโบกไม้โบกมือทักทายชาวบ้านแถว ๆ นั้น แถมยังโบกไม้โบกมือให้พวกเราด้วย อารมณ์ดีมาก ๆ ขอยกให้พวกเขาเป็นไฮไลท์ของการเดินทางเที่ยวเมืองบูราโน่ของพวกเราเลยค่ะ
บ้านหลังนี้น่าจะมีลูกเล็กหลายคน สังเกตว่าบ้านหลายหลังมีถุงพลาสติกใส่ขยะแขวนเอาไว้หน้าบ้าน
ถุงใส่ขวดพลาสติก
บ้านหลายหลัง มีผ้าม่านปิดไว้หน้าประตูบ้าน ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ดูแปลกตาดี
ภายใต้บ้านหลากหลายสีสัน ก็ยังมีบ้านบางหลังที่ดูแตกต่างออกมา … ได้อย่างครีเอทีฟสุด ๆ
กลับมาค้นอินเตอร์เน็ตถึงรู้ว่าบ้านหลังนี้ชื่อ CasaBepi หรือ Bepi´s House เป็นบ้านที่ได้ชื่อว่ามีสีสันสดใสที่สุดในหมู่บ้าน เจ้าของบ้านเดิมคือ Guiseppe Toselli (1920-2002) เคยทำงานที่โรงหนัง และเป็นคนขายขนมในหมู่บ้าน ด้วยความรักในภาพยนตร์ ช่วงฤดูร้อนตอนเย็น ๆ เขาจะขึงผ้าสีขาวที่ผนังบ้านตัวเอง แล้วฉายหนังให้เด็ก ๆ ในหมู่บ้านดู สำหรับลวดลายเรขาคณิตหลากหลายสีสันตรงผนังบ้านนั้นเขาได้เริ่มวาดในช่วงปี 1950
หลังจากที่ Toselli ได้เสียชีวิตลง บ้านหลังนี้ได้ถูกขายต่อไปยังเจ้าของบ้านคนใหม่ที่มีความทรงจำดี ๆ กับบ้านหลังนี้ในวัยเด็ก และต้องการจะเก็บรักษาบ้านหลังนี้ไว้ให้อยู่ในสภาพเดิม
ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในหมู่บ้าน … ตั้งอยู่ข้างถนน
พวกเราเดินเล่นรอบ ๆ หมู่บ้าน ประมาณ 1 ชั่วโมง ถึงจะยังเดินไม่ทั่วหมู่บ้าน แต่ก็รู้สึกอิ่มใจมากพอแล้ว
Burano สำหรับตัวเองแล้ว เสน่ห์ของมันก็อยู่ตรงที่ การที่ได้มาดู มาสัมผัส วิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านนั่นเอง เป็นการเดินทางที่เกินความคาดหมายจริง ๆ ค่ะ
(end of January, 2018)