สต็อกโฮล์มเป็นเมืองที่น่ารัก ปลอดภัย เที่ยวง่าย ถึงแม้ตึกรามบ้านช่องจะไม่ได้สวยงามอะไรมากเทียบกับเมืองในประเทศอื่น ๆ ในยุโรป แต่ก็เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ตกหลุมรักและอยากจะกลับมาที่นี่อีกเรื่อย ๆ เพราะที่นี่มีแหล่งเรียนรู้สำหรับเด็กหลายอย่าง ธรรมชาติสวยงาม งานอาร์ตและดีไซน์เรียบเก๋ คุณภาพชีวิตดี ผู้คนเป็นมิตรและพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก วิถีชีวิตของคนที่นี่ก็ดูมีเสน่ห์ เป็นเมืองที่ใส่ใจเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่ประทับใจสุด ๆ คือ ที่นี่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงผู้ชาย และผู้หญิงที่นี่ก็สตรองมาก ๆ เลยทีเดียว
ต่างฤดู ต่างอารมณ์
ครั้งแรกที่มานั้นเป็นช่วงปลายเดือนกันยายน อากาศเย็นนิด ๆ ไม่หนาวมาก รู้มาก่อนแล้วว่าที่นี่ไม่ค่อยมีแดดออก ก็เลยไม่ได้คาดหวังอากาศดี ๆ มากนัก แค่ฝนไม่ตกก็พอใจแล้ว เลยจัดโปรแกรมเที่ยวแบบไม่ต้องรอแดดออก ตอนไหนที่แดดออกนี่ถือว่าเป็นโบนัสมาก เพราะทำให้ได้เห็นสต็อกโฮล์มในอีกมุมหนึ่ง เพื่อนที่เคยอยู่ที่นี่สามปีบอกว่าช่วงมิถุนายน กรกฎาคม ที่นี่อากาศดี แดดออกบ่อย เหมาะแก่การมาเที่ยวมากที่สุด
ในการเที่ยวครั้งที่สองเป็นปลายกุมภาต้นมีนา โชคดีที่มีแดดออกเกือบทุกวัน แต่ถนนหนทางและรถราก็ดูสกปรกหน่อย จนแปลกใจว่ามันไม่เหมือนภาพจำสต็อกโฮล์มครั้งแรกที่ทุกอย่างสะอาดตา เพื่อนคนเดิมบอกว่าน่าจะเพราะหิมะเพิ่งละลายหมดเลยเป็นแบบนี้ ซึ่งคิดว่าจริงทีเดียวเพราะวันสุดท้ายที่สต็อกโฮล์มตอนเดินทางออกจากโรงแรมจนถึงสนามบิน หิมะก็ตกลงมาไม่หยุด ทั้ง ๆ ที่สี่วันก่อนหน้านั้นไม่มีหิมะตกเลย มีแต่แผ่นน้ำแข็งบนผิวน้ำที่ทำให้รู้ว่าที่นี่เพิ่งผ่านความหนาวเย็นมา
คนที่อยู่ที่นี่มาทั้งชีวิตเล่าว่า เขาเองก็ยังไม่ชินกับการที่ไม่ค่อยมีแดดอยู่เหมือนกัน อากาศครึ้ม ๆ บางครั้งก็ทำให้หดหู่อยู่บ้าง ช่วงไหนที่แดดออกคนที่นี่ก็จะรีบออกมาข้างนอกกัน เขาชอบหน้าร้อนเป็นอย่างมาก เพราะสว่างทั้งวันทั้งคืน สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้หลายอย่าง
จากสนามบินเข้าเมือง Stockholm
Arlanda Express เป็นรถไฟที่แล่นตรงจากสนามบินมาถึงสถานีรถไฟ Stockholm Central Station ในเวลาเพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น อาจแพงกว่าการเดินทางเข้าเมืองด้วยวิธีอื่น แต่ก็ประหยัดเวลาและสะดวกมาก ๆ
ครั้งแรกที่มาสต็อกโฮล์ม พวกเราซื้อตั๋วจากเครื่องขายตั๋ว Arlanda Express ในสนามบิน ตั๋วที่ออกจากเครื่องขายตั๋วที่นี่จะระบุแค่วันที่เราซื้อตั๋วเท่านั้น ไม่ได้บอกวันเดินทาง ถัดจากเครื่องขายตั๋วจะเจอลิฟต์จาก Terminal ตรงลงไปยังชานชาลาของ Arlanda Express เลย พอรถไฟออกจากสนามบินปั๊บ เจ้าหน้าที่จะเดินมาตรวจตั๋วทันที วิธีการตรวจตั๋วของเขาก็แค่เอาปากกาขีดลงบนตั๋วของเราให้รู้ว่าตั๋วใบนี้จะใช้อีกไม่ได้แล้ว ไม่นึกมาก่อนว่าจะเจอวิธีการตรวจตั๋วแบบนี้ที่นี่
ถ้าซื้อตั๋วล่วงหน้าทางเว็บของ Arlanda Express จะราคาถูกกว่าซื้อจากเครื่องขายตั๋วหรือเคาน์เตอร์ ตอนพวกเราไปเที่ยวเขามีโปรลดราคาเมื่อซื้อตั๋วผ่านแอพและเว็บด้วย
ตอนไปครั้งที่ 2 ได้ซื้อตั๋วรถไฟไป-กลับล่วงหน้า จากเว็บ arlanda ตั๋วหน้าตาประมาณนี้ค่ะ แปลกดีเหมือนกันมีแค่เลขที่ตั๋วเท่านั้น
ประทับใจ Arlanda ตอนที่รถไฟกำลังพาพวกเราเข้าสู่ตัวเมืองสต็อกโฮล์มเป็นครั้งแรก มีเสียงเทปจากชาวสต็อกโฮล์มพูดต้อนรับนักเดินทางเป็นภาษาอังกฤษ อย่างเป็นกันเองมาก ๆ ไม่เคยเห็นประเทศไหนทำอย่างนี้มาก่อน ทำให้เรารู้สึกว่าคนที่นี่ค่อนข้างจะเป็นกันเอง ซึ่งเท่าที่เห็นมาก็เป็นอย่างนี้จริง ๆ ตอนนั้นอดคิดไม่ได้ว่าเขาจะเปลี่ยนเสียงคนพูดต้อนรับไปเรื่อย ๆ หรือเปล่า
และนั่นก็เป็นครั้งเดียวที่ได้ยินเสียงต้อนรับพิเศษนี้ ในการโดยสารทั้งหมดสี่ครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเปิดเป็นประจำหรือเปล่านะคะ
ที่สถานีรถไฟ Stockholm Central Station รถไฟ Arlanda Express วิ่งทุก 15 นาที มีป้ายบอกว่าต้องรออีกกี่นาทีรถไฟจะออก
พักที่ไหนดี
โรงแรมในสต็อกโฮล์มส่วนใหญ่จะมีอาหารเช้าให้ฟรี บางโรงแรมมีห้องแบบไม่มีหน้าต่าง ราคาจะถูกกว่าห้องแบบอื่น ถ้าพักแค่ไม่กี่คืน และอยู่โรงแรมแค่เฉพาะตอนนอน ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่เลวเลย โรงแรมที่นี่ค่อนข้างแพง ขึ้นอยู่กับฤดูท่องเที่ยว ถ้าจองล่วงหน้าจะได้ราคาดีกว่า
ก่อนจองที่พักเราก็ดูคร่าวๆ ว่าที่นี่มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง จุดที่เราจะไปอยู่ตรงไหนของแผนที่ เราเทียบราคาโรงแรมใน booking.com และดู google map ประกอบ จะได้รู้ว่าย่านที่เราจะไปอยู่มีสภาพแวดล้อมประมาณไหน พอได้โรงแรมที่น่าสนใจเราก็จะเช็คกับเว็บของตัวโรงแรมเองอีกครั้งเพราะบางทีจองกับโรงแรมเองจะถูกกว่า
ครั้งแรกที่มาสต็อกโฮล์ม พวกเราพักที่ ApartDirect Sveavägen สี่คืนแรก ที่นี่เป็นอพาร์ตเมนท์เหมาะกับครอบครัว ติดกับสถานี Rådmansgatan ซึ่งห่างจากสถานีรถไฟ Central Station แค่ 2 สถานี หรือถ้าจะเดินก็ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที มีสวนสาธารณะ Observatorielunden และสนามเด็กเล่นอยู่ใกล้ ๆ หาของกินสะดวก เดินจากที่พักไม่กี่ก้าวก็ถึงซุปเปอร์มาร์เก็ต COOP
ก่อนวันเช็คอินทางโรงแรมจะส่งรหัสเปิดประตูรั้วและประตูห้องพักมาให้ ที่นี่ไม่มีเคาน์เตอร์ให้เช็คอิน ต้องบริการตัวเองทุกอย่าง ห้องของเราอยู่ชั้นล่าง มีเตียงใหญ่และโซฟาเบด เตียงนอนสบาย ฝักบัวโอเค มีครัว ไมโครเวฟ เตารีด เสียอยู่อย่างเดียวที่เป็นห้องไม่เก็บเสียง ถ้าเป็นคนตื่นง่ายคงต้องเตรียม earplug ไว้ใส่ตอนนอน มีครั้งหนึ่งต้องตื่นขึ้นมาเพราะเสียงคนเข็นตู้เก็บขยะออกไปข้างนอกตอนตี 5!
คืนสุดท้าย เปลี่ยนไปนอนที่ Comfort Hotel เพราะจะได้ฝากกระเป๋าตอนออกไปเที่ยวหลังเช็คเอาท์ได้ แล้วโรงแรมนี้อยู่ติดกับที่จอดรถไฟ Alanda Express เลย สะดวกสบายมาก ที่นี่มีอาหารเช้าฟรีและอาหารค่อนข้างโอเคเลยทีเดียว มีไข่คน เบคอน ไส้กรอก แพนเค้ก และผลไม้ให้ นอกเหนือจากพวกขนมปัง แฮม ชีส
สำหรับการมาสต็อกโฮล์มครั้งที่ 2 นั้น พวกเราอยากจะทำความรู้จักกับสต็อกโฮล์มในย่านอื่นบ้าง เลยเลือกพักแถวที่คนท้องถิ่นเขาอยู่กัน ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ทำให้รู้ว่าราคาอาหารในสต็อกโฮล์มไม่ได้แพงเสมอไป
Niro Apart Hotel อยู่ไม่ไกลจากสถานีเมโทร Fridhemsplan มีร้านค้า ร้านอาหารหลายร้านราคาไม่แพง รวมถึงร้านอาหารไทยด้วย โรงแรมนี้ไอเดียเก๋ไม่เบาเพราะเขารีโนเวทชั้นล่างและชั้นใต้ดินของตึกร้างกว่าสิบชั้น ให้กลายเป็นโรงแรมที่ทันสมัย ตอนนั้นพื้นที่ส่วนอื่นของชั้นล่างก็มีการรีโนเวทเพิ่มด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้ตึกนี้ยังร้างอยู่ไหม
ช่วงที่ไปพักกันเป็นช่วงที่โรงแรมเพิ่งเปิดใหม่ คนยังไม่เยอะ พวกเราเลยได้อัพเกรดห้องจากชั้นใต้ดินไปอยู่ชั้นหนึ่ง มีช่องหน้าต่างให้แสงเข้านิดหน่อย ชั้นใต้ดินที่ราคาถูกกว่าจะไม่มีหน้าต่าง ที่นี่มีครัวพร้อมไมโครเวฟและเครื่องล้างจานในห้องพัก การออกแบบห้องและวัสดุที่ใช้ค่อนข้างดี ที่ชอบมากคือ ไม่ไกลจากที่พักมีสวนสาธารณะติดแม่น้ำ ที่มีทางเดินเลียบแม่น้ำไปจนถึง Stadshuset วันที่พวกเราเดินกันเป็นวันเสาร์อากาศดี คนที่นี่ออกมาเดินกันเยอะเลย
บัตรนักท่องเที่ยว ประหยัดและคุ้ม
ตอนแรกก็งง ๆ ว่าทำไมมีบัตรสำหรับนักท่องเที่ยวหลายแบบ แถมไม่กี่ปีก่อนก็เป็นบัตรอีกแบบที่ตอนนี้เขายกเลิกไปแล้ว
สุดท้ายเลือกซื้อ Stockholm Pass เพราะสามารถเข้ามิวเซียมได้ฟรีทุกที่รวมถึงทัวร์รอบเมืองโดยรถบัสและเรือ และเรือ/รถบัส hop-on hop-off แต่จะไม่รวมรถราง, รถเมล์, รถไฟใต้ดิน
เย็นวันแรกที่มาถึง ได้สั่งซื้อ Stockholm Pass ในเว็บเพราะมันลดราคา เช้าวันต่อมาก็ไปเอาบัตรที่ Stockholm Visitor Center เพียงแค่ยื่นมือถือให้เจ้าหน้าที่ดู voucher ที่ได้รับทางอีเมล เจ้าหน้าที่จะสแกนบาร์โค้ดจาก voucher แล้วก็จะได้บัตร Stockholm Pass มา สะดวกมากเลย
บัตร Travel Card
คนที่นี่ถ้าจะขึ้นเรือ รถเมล์ รถราง รถไฟ รถไฟใต้ดิน เขาจะใช้ SL Access card กัน เป็นบัตรเติมเงินเหมือนบัตร BTS สำหรับนักท่องเที่ยวเขาจะมีบัตร Travel Card แบบ 24 ชั่วโมง (155 SEK- ราคาในปี 2020) 72 ชั่วโมง (310 SEK) และ 7 วัน (405 SEK) ที่สามารถเติมเข้าไปในบัตร SL Access card (20 SEK) ได้ ซึ่งซื้อแบบนี้จะถูกกว่าการซื้อบัตรกระดาษแบบ Single journey ticket (ใช้เดินทางกี่เที่ยวก็ได้ภายใน 75 นาที)
ข้อเสียของบัตรกระดาษคือ เวลาเราจะผ่านเกทที่สถานีรถไฟใต้ดิน ต้องเอาบัตรกระดาษไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ที่ตู้ขายตั๋วดู เพื่อให้เขาเปิดเกทให้เรา ตู้เจ้าหน้าที่ขายตั๋วจะอยู่ข้าง ๆ เกทนั่นเอง เราก็ซื้อบัตร Travel Card ได้ที่ตู้เจ้าหน้าที่ขายตั๋วในทุกสถานีรถไฟใต้ดิน เด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบสามารถเดินทางกับผู้ใหญ่ได้ฟรี
ความจริงแล้วสถานที่เที่ยวในเมืองส่วนใหญ่จะสามารถเดินได้ถึงกันหมด แต่ถ้ามากับเด็กเล็กที่เลิกใช้รถเข็นเด็กแล้วและยังเดินไม่ได้ไกลมากอย่างครอบครัวเรา การซื้อ Travel Card เพื่อที่จะได้ใช้บริการระบบขนส่งมวลชนที่นี่อย่างสะดวกก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งนะคะ
รถไฟใต้ดิน
สถานีรถไฟใต้ดิน
ที่นี่เขาเรียกกันว่า Tunnelbana มีสัญลักษณ์เป็นตัว T สังเกตได้ง่ายมาก ๆ สถานีรถไฟใต้ดินที่นี่ถือว่าเป็นแหล่งศิลปะที่ยาวที่สุดในโลกเลยทีเดียว แค่ได้เดินในสถานีรถไฟใต้ดินก็ถือว่าได้เที่ยวแล้ว เพราะเหมือนเดินอยู่ในมิวเซียมที่มีงานศิลปะสวย ๆ ให้ดู สถานีที่สวย ๆ ในใจกลางเมืองที่ห้ามพลาด คือ T-centralen, Hötorget, KungsträdgårdenT-centralen
อ่านเพิ่มได้ที่ Stockholm Metro Stations – Little and Big Steps
รถรางและรถเมล์
สถานที่เที่ยวบางแห่งไม่อยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน บางทีจึงต้องใช้รถรางหรือรถเมล์ ถ้าเป็นรถเมล์จะต้องขึ้นทางประตูหน้าแล้วแตะบัตร SL Access card กับเครื่องอ่านบัตรข้างคนขับ ส่วนรถรางนี่จะขึ้นทางประตูไหนก็ได้ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่มาคอยตรวจตั๋วเราอยู่ดี
ใช้เว็บนี้เพื่อดูเส้นทางการเดินทางโดยระบบขนส่งมวลชนในสต็อกโฮล์ม แค่ใส่ที่ ๆ เราอยู่ และที่ๆ เราจะไป >>> https://sl.se/en หรือใช้ openstreetmap.org ถ้าเรารู้สายรถแล้ว
รถรางและรถเมล์สายสำคัญที่อยากจะแนะนำ คือ
รถรางสาย 7 ไปเกาะ Djurgården เพื่อเข้ามิวเซียมต่างๆ เช่น Vasa Museum, Junibacken, Nordic Museum, Skansen, Waldemarsudde รถรางสาย 7 มีต้นสายที่ Kungsträdgården
รถเมล์สาย 69 ไป Museiparken เป็นที่ตั้งของ Tekniskamuseet และ Etnografiska Museet เลือกปลายทาง Kaknästornet/ Blockhusudden ผ่านสถานี T-centralen ไปลงที่ป้าย Museiparken
(ป.ล. ที่สต็อกโฮล์มช่วงเลิกงานนี่รถติดใช่ย่อยไม่ต่างจากกรุงเทพเลย ซึ่งเป็นอะไรที่ขัดกับความเป็น green city ของเมืองนี้มาก ๆ เคยนั่งรถเมล์ในช่วงเลิกงานผ่านแถวสถานี T-centralen รถติดไม่ขยับอยู่หลายนาที มีผู้ชายคนหนึ่งเดินไปคุยกับคนขับ แล้วคนขับก็เปิดประตูรถให้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงป้ายรถเมล์ สงสัยเขาคงจะรีบไปต่อรถไฟ คนในรถหลายคนก็รีบกรูลงจากรถกันใหญ่ เป็นอะไรที่ฮาดีเหมือนกัน ไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนี้ที่นี่ เพราะปกติที่ยุโรปคนขับจะไม่เปิดประตูให้คนลงนอกป้ายรถเมล์)
Museum
มิวเซียมส่วนใหญ่ปิดวันจันทร์ ปกติจะให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าฟรี แต่บางที่ เช่น Skansen และ Junibacken เด็กเล็กก็ต้องซื้อตั๋วด้วย
บางแห่งจะเปิดให้เข้าฟรีตอนเย็น เช่น Tekniskamuseet เข้าฟรีทุกวันพุธหลัง 5 โมงเย็น, The Nobel Museum เข้าฟรีทุกวันศุกร์หลัง 5 โมงเย็นในเดือนกันยายนถึงพฤษภาคม
มิวเซียมบางแห่งเปิดให้เข้าฟรี เช่น Moderna Museet, ArkDes, Swedish Museum of Natural History, Bonniers Konsthall art gallery, The Swedish History Museum, The Museum of Far Eastern Antiquities, The Museum of Mediterranean and Near Eastern Antiquities, Medieval Museum
ห้องน้ำ
ที่นี่ห้องน้ำส่วนใหญ่จะไม่แยกชายหญิง ซึ่งมันแสดงถึงความเท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงผู้ชายได้เป็นอย่างดีเลย ห้องน้ำส่วนใหญ่ที่เข้าค่อนข้างจะสะอาด แต่เจอแจ๊กพ็อตครั้งเดียวที่ต้องผงะกับฉี่ที่กระจัดกระจายตรงฝารองนั่ง อาจจะเป็นเด็กที่มายืนฉี่แล้วทำความสะอาดไม่เรียบร้อย อย่างไรก็เตรียมพกทิชชู่เปียกไว้ทำความสะอาดฝารองนั่งก็ดีนะคะ
ปกติห้องน้ำในมิวเซียมจะเข้าได้ฟรี แต่สถานที่บางที่ห้องน้ำใกล้ประตูทางออกต้องเสียเงิน ขณะที่ห้องน้ำด้านใน ๆ จะให้เข้าได้ฟรี อย่างที่ห้องสมุด City Library ตรงแผนกหนังสือเด็กจะมีห้องน้ำสำหรับเด็กและคนนั่งรถเข็นที่สามารถเข้าได้ฟรี แต่ห้องน้ำใกล้ประตูทางออกจะเสียเงิน
ห้องน้ำบางที่ก็สามารถจ่ายเงินด้วยบัตรเอทีเอ็มทางยุโรปได้ (น่าจะประมาณบัตรเดบิตในเมืองไทย) หรือบางที่ก็จ่ายเงินทาง sms!!! ซึ่งมันไฮเทคมาก โดยเราแค่พิมพ์รหัสตามป้ายที่ติดไว้ แล้วส่งไปตามเบอร์ที่เขาบอก จากนั้นเราจะได้รหัสเลขมาปลดล็อคเกทหรือประตูห้องน้ำ
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับห้องน้ำ คือ ตอนที่กำลังเดินเที่ยวในเมือง อยู่ ๆ ลูกก็ปวดอึ เลยต้องรีบหาห้องน้ำกัน สุดท้ายพาลูกไปเข้าห้องน้ำที่ Kulturhuset ใกล้ ๆ เพราะคิดว่าห้องน้ำในมิวเซียมปกติจะอยู่ใกล้ประตูและเข้าได้ฟรี แต่ปรากฏว่าที่นี่ต้องเสียเงิน ตอนนั้นดันมีเงินสดไม่พอค่าเข้าห้องน้ำ! เพราะอยู่ที่นี่จ่ายเงินด้วยบัตรเอทีเอ็มตลอด ได้กดเงินสดออกมาใช้แค่ครั้งเดียว แล้วตู้เอทีเอ็มที่ใช้ตอนนั้นสามารถกดเงินออกมาได้แค่ 600 SEKเท่านั้น
แต่โชคดีที่ห้องน้ำที่นี่มีอีกทางเลือกให้จ่ายเงิน คือ ให้จ่ายโดยการส่ง sms แต่เราก็กดรหัสส่งไปผิดเพราะไม่ได้เว้นวรรคตัวอักษรตามป้ายบอก ต้องเสียเวลากดรหัสให้ถูกอีก ถึงจะไฮเทคแต่คงไม่ค่อยสะดวกเท่าไรสำหรับคนที่ต้องรีบเข้าห้องน้ำอย่างด่วน
อาหาร
ส่วนใหญ่พวกเราจะซื้อของกินที่ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต COOP ร้าน COOP ที่นี่จะเป็นสีเขียวแปลกตากว่าที่สวิตเซอร์แลนด์หรือที่เนเธอร์แลนด์ที่จะเป็นสีส้ม ด้วยความที่ลูกชอบกินซูชิมาก เลยได้ค้นพบว่าซูชิที่เป็นยี่ห้อของ COOP เลยนั้น อร่อยกว่าซูชิที่วางขายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตในเมืองอื่น ๆ ในยุโรป ข้าวจะนิ่มและหวานกำลังดี ปลาบนซูชิก็สดดีด้วย นอกจากนั้นขนมปังที่นี่ยังอร่อยดี แม้จะเป็นแค่ร้าน supermarket ธรรมดา
ได้ลองซื้อแซนวิชเค้กหน้ากุ้ง-แซลม่อนที่นี่ รู้สึกว่ามันแปลก ๆ ดีที่กุ้ง-แซลม่อนกับผักสลัดผสมมายองเนสไปโปะอยู่บนเค้ก บอกไม่ได้เต็มปากทีเดียวว่าอร่อย คิดว่าถ้าได้ลองชิมจากร้านที่ดีกว่านี้อาจจะอร่อยกว่านี้ก็เป็นได้
เวลาออกเที่ยวกับลูกจะเตรียมอาหารกลางวันใส่กล่องไว้เรียบร้อย เวลาลูกหิวจะได้ทานได้ทันทีเลย และก็สะดวกกับการที่ไม่ต้องคอยเดินตามหาซื้อของกิน ช่วงมื้อกลางวันก็จะหาที่นั่งปิคนิคกับลูกในสวนสาธารณะ แล้วก็ดูผู้คนเดินผ่านไปมาเพลิน ๆ ได้เห็นโรงเรียนหลายที่พาเด็กมานั่งปิคนิคกันที่สวนด้วย มิวเซียมบางแห่ง เช่น Tekniskamuseet จะมีพื้นที่ให้ปิคนิคในตัวอาคาร สะดวกกับครอบครัวลูกเล็กมาก ๆ
ได้ไปลองร้านอาหารในสต็อกโฮล์มแค่ไม่กี่ร้าน ขอแนะนำร้านที่ชอบนะคะ
VETE-KATTEN >>> เป็นร้านแบบบริการตัวเอง เค้กและสลัดที่นี่อร่อยมาก บรรยากาศในร้านทำให้รู้สึกเหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งของคนในพื้นที่ ร้านนี้คนค่อนข้างแน่นหน่อยนะคะ เราไปตอนบ่ายวันเสาร์ต้องต่อคิวยาวที่เคาน์เตอร์สั่งอาหาร ที่นี่มีเคาน์เตอร์สำหรับคนซื้อแบบ take-away แยกต่างหากด้วย (คิวจะสั้นกว่ามาก ๆ)
สำหรับคนที่อยากจะลอง fika ขอแนะนำที่นี่เลยค่ะ fika จะอารมณ์ประมาณ afternoon tea แต่คนที่นี่ไม่ได้กินของว่างจิบน้ำชากาแฟแค่เฉพาะตอนบ่าย ๆ แต่สามารถทำได้ทั้งวัน เป็นการพักเบรคมานัดเจอเพื่อนฝูงพูดคุยกัน สำหรับเราเองได้มานัดเจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมา 6 ปีที่ร้านนี้ เลยมีเรื่องให้ได้พูดคุยอัพเดตกันนานเลย พวกเรานั่งที่นี่กันเกือบ 2 ชั่วโมง การเจอเพื่อนเก่ากับบรรยากาศในร้านทำให้นี่เป็นมื้อที่พิเศษอีกมื้อหนึ่ง
Tjabbathai >>> ขอยกให้เป็นร้านอาหารไทยในยุโรปที่อร่อยมาก ๆ ร้านหนึ่งในราคาที่ไม่แพงมาก วันนั้นสั่งอาหารมา 4 อย่าง อร่อยทุกอย่างเลย เจ้าของร้านและพนักงานเป็นคนไทย ขนาดวันที่ไปทานนี่เป็นวันพุธตอนเย็น ไม่ใช่วันสุดสัปดาห์ ลูกค้ายังเต็มร้านเลย ซึ่งกว่า 80% เป็นลูกค้าฝรั่ง ดีใจที่มีร้านอาหารไทยดี ๆ อย่างนี้ในต่างแดนค่ะ
อ่านต่อเกี่ยวกับที่เที่ยวในสต็อกโฮล์มได้ที่ –>