Venice ที่ฉันเห็น

คนที่เวนิสเคยบอกกับพวกเราไว้ว่า ให้ลองเดินเที่ยวเวนิสดู ลองหลงดู แล้วก็ไปในย่านที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว … เวนิสมีดีที่ตรงนี้จริง ๆ … ถึงแม้ว่าเวนิสจะเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่ก็ยังมีมุมที่ให้ได้สัมผัสชีวิตของคนที่นี่อยู่บ้าง ส่วนตัวแล้วเสน่ห์ของเวนิสอยู่ที่ วิถีชีวิตของผู้คน งานศิลปะ ตึกรางบ้านช่องกับน้ำสีเขียว ๆ โดยเฉพาะอารมณ์ของเมืองนั้น สามารถเปลี่ยนไปได้ตามสภาพของแสงแดดและอากาศ

เวนิสทำให้เราได้เข้าใจอีกครั้งหนึ่งว่า การไม่คาดหวังในการเดินทาง ทำให้ได้พบเจอกับสิ่งที่เกินคาดบ่อย ๆ 


โรงแรม ตึกในเมือง

ปลายเดือนมกราคม

พวกเรามาถึงสนามบินตอนสองทุ่มกว่า รถบัสจากสนามบินเข้าเกาะเวนิสตอนเกือบ 3 ทุ่ม ที่พักของเราเดินไปได้ง่าย ๆ จากสถานีขนส่งในเวลาไม่เกิน 3 นาที เนื่องด้วยคะแนนรีวิวของโรงแรมนี้ค่อนข้างต่ำ เราเลยไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก กับราคาไม่ถึง 60 ยูโร ซึ่งนับว่าถูกมากกับโรงแรมในเวนิสที่มีห้องน้ำส่วนตัว

แต่ความไม่คาดหวังนั้น กลับทำให้เราได้ชื่นชมกับสิ่งที่ได้เกินคาดมา … อย่างเต็มที่ 

โรงแรมใจดีให้ห้องพักหันหน้าเข้าหาคลอง Grand Canal แถมยังอัพเกรดจากห้องเตียงคู่ปกติเป็นห้องครอบครัว มีเตียงใหญ่กับสองเตียงเล็ก ฟินมาก ๆ กับการมาเวนิสครั้งแรก ที่ได้ตื่นตอนเช้าจากเสียงธรรมชาติของนก ของเป็ด และ “คน” คนทำงานแถว ๆ นั้น ทั้งคนขับเรือหลากหลายชนิด ทั้งนักท่องเที่ยว และผู้โดยสารที่แวะขึ้นท่าเรือ

พอเปิดหน้าต่างห้องออกมาตอนเช้า ก็เจอกับน้ำเขียว ๆ  กับหมอกที่เริ่มหนาขึ้น หนาขึ้น

ตึกสีขาวฝั่งตรงข้าม เป็นสถานีรถไฟ

เป็นโรงแรมเก่า ๆ ที่ไม่มีล็อบบี้เป็นของตัวเอง ต้องไปเช็คอิน/เช็คเอาท์ กับโรงแรมใหญ่ที่อยู่ตึกถัดไป พอได้กุญแจมาก็ไขประตูโรงแรมสีขาว (ด้านซ้ายมือในรูป) ขึ้นบันไดแคบ ๆ ชัน ๆ ไปยังชั้น 2 นั่นก็คือส่วนของโรงแรมทั้งหมด

จะสังเกตเห็นว่า ตึกสีขาวทั้งตึกมีตั้ง 4 ประตู ถ้าไม่นับประตูของร้านค้าแล้ว อีก 2 ประตูน่าจะเป็นทางเข้าของห้องชั้น 3 หรือชั้น 4 ของตึก โรงแรมอีกแห่งที่พวกเราพักก็มีลักษณะอย่างนี้เหมือนกัน ตึก ๆ เดียวกันแต่ทางโรงแรมแบ่งห้องบางส่วนของชั้น 2 เป็นอพาร์ตเมนท์เปิดเช่าที่มีประตูบ้านและบันไดแยกต่างหาก ส่วนชั้น 3 ชั้น 4 ก็เป็นห้องของโรงแรมปกติ

หน้าต่างบ้านที่เวนิสจะมีบานพับไม้อยู่ด้านนอก ที่ปิดทับหน้าต่างกระจกอีกที ข้อดีก็น่าจะช่วยกันเสียงรบกวนด้านนอกเวลานอน, กันหนาว และกันแสงแดดรบกวนตอนนอน เหมือนว่าบานพับส่วนใหญ่ในเวนิสจะเป็นสีเขียว

หน้าต่างห้องของโรงแรมที่สอง

พวกเราเดินจากโรงแรมเดิม ข้ามสะพานรีอัลโต เพื่อเดินหาโรงแรมที่จองเอาไว้บนถนนเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ ในย่านนักท่องเที่ยวซานมาร์โค เดินเกือบครึ่งชั่วโมงพวกเราก็มายืนอยู่หน้าตึกของโรงแรม ประตูปิดล็อค เรากดกริ่งคุยกับเจ้าหน้าที่ บอกชื่อเสียงเรียงนาม แล้วประตูโรงแรมก็เปิดออก พวกเราเดินผ่านห้องโถงใหญ่ชั้นล่าง ขึ้นบันไดชัน ๆ ไปชั้น 2 ไปยังล็อบบี้ของโรงแรม โรงแรมนี้ได้รีวิวดีมาก ๆ ด้วยราคาที่เป็นธรรม โลเคชั่นดี ใกล้ที่ท่องเที่ยวและท่าเรือ แต่สงบ และเจ้าหน้าที่ยังเป็นมิตรสุด ๆ ซึ่งก็ตรงตามนั้นจริง ๆ

เจ้าหน้าที่ใจดี ยิ้มกว้าง แนะนำย่านร้านอาหารราคาธรรมดา เส้นทางการเดินไปยังที่ต่าง ๆ และที่สำคัญคือ เราเพิ่งรู้จากโรงแรมว่าวันนี้เป็นวันเริ่มเทศกาลหน้ากากคาร์นิวัลประจำเกาะพอดี เจ้าหน้าที่พาพวกเราเดินไปยังอพาร์ตเมนต์ของโรงแรมที่ได้เช่าเอาไว้ เป็นอพาร์ตเมนท์ 2 ห้องนอน มีครัว และเครื่องซักผ้าแถมผงซักฟอกด้วย  ถูกใจแม่บ้านอย่างเรามาก ๆ เพราะทริปนี้พวกเราเดินทางจากที่อื่นกันมาก่อนและไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเยอะ พวกเราปักหลักกันที่นี่ 4 คืน และลูกก็ได้เล่นเปียโนของที่พักทุกวัน เพราะที่นี่ไม่มีทีวีให้ดู เลยมีเวลาได้ทำอย่างอื่น

ถนนหน้าโรงแรม San Samuele


อาหาร

เราเดินไปในย่านแถว ๆ ตลาดรีอัลโต ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่โรงแรมถึงราคาอาหารที่ไม่แพง แถวนี้มีผู้คนเยอะแยะมากมาย ร้านเบเกอรี่กับพิซซ่าหลาย ๆ ร้านมีลูกค้าอย่างแน่น พวกเราลองเดินตามซอยย่อย ๆ ดู แล้วก็เจอกับร้านอาหารร้านหนึ่ง ดูเมนูหน้าร้านราคาใช้ได้ พิซซ่าจานละ 7-8 ยูโร เลยเลือกเข้าร้านนี้กัน

ตอนนั้น 11 โมงกว่า ๆ ครอบครัวเราเป็นลูกค้าโต๊ะแรกของร้าน เราเองเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าร้านนี้จะอร่อยหรือเปล่า ทำไมไม่มีคน! ในเน็ตบอกว่ามาเวนิสต้องลองกินอาหารทะเล และสปาเก็ตตี้หมึกดำ เห็นราคาเมนูหมึกดำแล้วแพงมาก เราเลยสั่งสปาเก็ตตี้ทะเลดู นี่เป็นอาหารที่อยู่ในเซ็ทเมนูสำหรับนักท่องเที่ยว จำได้ว่าเมนูเซ็ทสำหรับนักท่องเที่ยวอันนี้อยู่ที่ 12 ยูโร สามารถเลือกอาหารได้ 2 จาน และจะตบท้ายด้วยของหวาน

สปาเก็ตตี้ทะเล

ด้วยความที่ไม่ได้คาดหวังอะไร กลับกลายเป็นว่า นี่คือสปาเก็ตตี้ที่อร่อยที่สุดเท่าที่ได้เคยชิมมา สำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนอาหารอิตาเลียนอย่างเรา แม้ว่าจะไม่ได้ใส่กุ้ง หอย ปลาหมึกมาเป็นชิ้นโต ๆ ก็ตาม คงเพราะเป็นเมนูราคาประหยัดขายให้นักท่องเที่ยวนั่นเอง ส่วนพิซซ่าของพ่อและลูกนั้นแค่พอไปวัดไปวาได้ แต่ลูกปลื้มกับพิซซ่าของตัวเองสุด ๆ  เพราะได้มากินพิซซ่าถึงประเทศเจ้าถิ่น สรุปแล้วบอกไม่ได้ว่าร้านนี้ดีหรือไม่ คงขึ้นอยู่กับอาหารที่สั่ง แต่ตอนที่พวกเราเดินออกจากร้านนั้นลูกค้าเต็มทุกโต๊ะเลย

ข้อเสียของร้านนี้น่าจะเป็นทริคแอบแฝง ในบิลมีค่า coperto เป็นค่าบริการลูกค้าที่เก็บถึง 3 ยูโรต่อคน โดยที่พวกเราไม่ได้ดูละเอียดว่าค่าบริการนี้ได้แจ้งไว้ในเมนูอาหารหรือเปล่า  นี่เป็นอีกบทเรียนที่ได้เรียนรู้ที่นี่ ในวันหลัง ๆ เราสังเกตว่า บางร้านบอกอย่างชัดเจนบนเมนูหน้าร้านว่า ไม่บวกค่าบริการเพิ่ม หรือบวกค่าบริการเท่าไร

สำหรับพิซซ่านั้น พวกเราเพิ่งมารู้ทีหลังจากคนในเวนิสว่า พิซซ่าที่นี่จะหาความอร่อยไม่ได้มากเพราะไม่สามารถอบในเตาฟืนได้ เพราะกฏหมายเมืองที่ป้องกันการเกิดไฟไหม้จึงห้ามใช้เตาฟืน แต่เราคิดว่ามาตรฐานความอร่อยของคนอิตาเลียนน่าจะแตกต่างจากนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ เพราะอาหารที่เราลองที่นี่ ส่วนใหญ่แล้วอร่อยไปหมด โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก

เช่น บูธขายไอติมข้างทางก่อนขึ้นสะพานรีอัลโต ที่มีนักท่องเที่ยวอย่างหนาแน่น ไอติมโคน 1 ลูกราคาถึง 2 ยูโร เราคิดไว้ก่อนว่ารสชาติคงจะงั้น ๆ เพราะอยู่ใจกลางแหล่งท่องเที่ยวเลย แต่พอได้ลองชิมแล้วกลับกลายเป็นไอติมที่อร่อยมาก ๆ เนื้อไอติมแน่น หวานกำลังดี คุณภาพดีจริง ๆ แล้วก็ให้เยอะสมราคา ทั้งยังเป็นไอติมที่ไม่แต่งสีด้วย

ปกติเวลาไปเที่ยวในที่ใหม่ ๆ เรามักจะจดชื่อร้านอาหาร และอาหารแนะนำประจำถิ่นเอาไว้ มาเวนิสเราก็จดอยู่บ้าง แต่ไม่ได้แวะไปที่ร้านเหล่านั้นเลย ส่วนใหญ่เราซื้อของกินเล่นตามร้านเบเกอรี่ ร้านขายขนมปัง แล้วก็พบว่าพวกคุกกี้ พาย ของกินเล่นหน้าตาแปลก ๆ ใหม่ ๆ ของที่นี่ ไม่ว่าจะร้านไหน ๆ ส่วนใหญ่แล้วอร่อยทั้งนั้น

ร้านเล็ก ๆ ติดสะพาน

ร้านนี้อยู่ติดสะพานเล็ก ๆ เป็นร้านเล็ก ๆ ขายพิซซ่า ขนม พวกเราสะดุดตากับร้านนี้ตรงที่มีกระจกรอบร้าน ทำให้มองเห็นอาหารที่วางขายอย่างชัดเจน ดูน่ากินเป็นอย่างมาก เราสั่งพายผักโขมอุ่น ๆ แล้วก็เดินกินกันระหว่างทาง รสชาติใช้ได้เลย

เดินไปเรื่อย ๆ ก็เห็นขนมคล้าย ๆ โดนัทแบบไม่มีรูวางขายอยู่ มารู้ชื่อทีหลังคือ Arancini ที่พวกเราไม่เคยกินกันมาก่อน มันเป็นข้าวรีซอตโต้ผสมชีสที่เอามาทอด มีหลายรส เราสั่งรสเห็ดไปก็จะมีเห็ดผสมอยู่ข้างใน เป็นรสชาติแปลกใหม่ดีอยู่เหมือนกัน

เพื่อนชาวอิตาเลียนแนะนำร้านอาหารทะเลมา ชื่อร้าน Rosticceria Gislon อยู่ใกล้ ๆ สะพานรีอัลโต้ ซึ่งเราไปลองแล้วค่อนข้างประทับใจ เป็นร้านที่หน้าตาบ้าน ๆ แต่แอบแน่นเอี๊ยดด้วยคนท้องถิ่น ที่นี่มีอาหารวางเรียงรายตามเคาน์เตอร์ ส่วนใหญ่เป็นสลัด อาหารทะเลทอด เราสั่งอาหารแบบ takeaway หลาย ๆ อย่าง จ่ายเงินตามราคาน้ำหนักของอาหาร แต่อาหารที่ประทับใจจนอยากบอกต่อคือ ปลาหมึกในซอสหมึกดำ น่าจะชื่อว่า seppie in nero ดูดำ ๆ ทั้งเมนู แต่อร่อยมากเลยทีเดียว


ร้านชาวบ้าน กับ ซุปเปอร์มาร์เก็ตแบรนด์ใหญ่

ในย่าน San Marco ที่พวกเราพักนั้นมีร้านขายของชำเล็ก ๆ ของคนในท้องถิ่นตั้งอยู่ประปราย แต่ไม่เห็นร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ ร้านคนท้องถิ่นนี้จะขายของเหมือนที่ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ ๆ เช่น เส้นพาสต้า ซอสพาสต้า ผัก ผลไม้ เครื่องดื่ม ซึ่งราคาก็ไม่ได้แพงไปกว่าร้านซุปเปอร์เลย เช่น น้ำขวดใหญ่ ๆ ในร้านเล็กราคาแค่ 1 ยูโร

น่าแปลกใจที่เมืองเล็ก ๆ อย่างนี้ แต่ซุปเปอร์มาร์เก็ตก็เปิดถึงตอนกลางคืน 2-3 ทุ่ม และเปิดวันอาทิตย์ด้วย

ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตโคโอ๊พ ขนาดกลาง ๆ ที่ Campo S. Giacomo dell’Orio

นอกจากนี้ ยังมีตลาดน้ำเล็ก ๆ กับเรือ 1 ลำ อยู่ติดสะพาน Ponte dei Pugni มีเรือแค่ลำเดียวที่ขายผักผลไม้ ร้านตรงข้ามเรือลำนี้ก็ขายผักผลไม้เหมือนกัน เรือน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของร้านบนบก

เรือขายผักผลไม้ ที่สะพาน Ponte dei Pugni

งานศิลปะ 

ส่วนตัวแล้ว ไม่ได้ชื่นชอบภาพวาดของศิลปินอิตาเลียนสมัย Renaissance เป็นพิเศษ เพราะรู้สึกว่ามันดูมันแข็ง ๆ อย่างบอกไม่ถูก

แต่ การมาเวนิสครั้งนี้ ทำให้เราได้ค้นพบงานของศิลปินสมัยเกือบ 5 ร้อยปีก่อน ชื่อว่า Tintoretto ถ้าเดินเข้าไปในโบสถ์ที่มีภาพวาดใหญ่ ๆ ของศิลปินเวนิสรุ่นเดอะ เรียงรายอยู่ใกล้ ๆ กัน ภาพวาดของ Tintoretto มักจะโดดเด่นออกมาเสมอ ด้วยมุมมองที่แหวกแนวกว่าศิลปินคนอื่น และอาจด้วยการเล่นแสงเงา เช่น ภาพวาดในโบสถ์ Madonna dell’Orto

ภาพ Presentation of the Virgin in the Temple (1552) ในโบสถ์ Madonna dell’Orto

ด้านบนเป็นภาพที่พระแม่มารีเดินขึ้นบันได 15 ขั้นเข้าวัดเยรูซาเร็มเองตอน 3 ขวบ Tintoretto เน้นวาดตัวเด่นไปที่สองแม่ลูกด้านล่าง ที่แม่กำลังชี้ชวนให้ลูกมองดูตัวอย่างที่ดี ๆ ในขณะที่ศิลปินคนอื่น ๆ จะเน้นวาดไปที่ตัวของพระแม่มารี

และอีกภาพของ Tintoretto ที่ทำให้ตัวเอกมีออร่าขึ้นมาโดยไม่ต้องพึ่งแอพ

ภาพ The Miracle of St Agnes ในโบสถ์ Madonna dell’Orto

แม้ว่าเราจะไม่ได้แวะเข้ามิวเซียมศิลปะหลาย ๆ แห่งที่นี่ แต่ก็รู้สึกประทับใจมากกับมิวเซียมเล็ก ๆ อย่าง Ca’ Pesaro ที่มีงานปั้นของ Medardo Rosso ศิลปินคนโปรด และมีรูปปั้น The Thinker ของ โรแด็ง (Rodin)

The Thinker (Rodin)
The Thinker ในเวอร์ชั่นสมัยใหม่ 

มิวเซียมอีกที่หนึ่ง ที่ได้แวะเข้าไปดู คือ Gallerie dell’Accademia เป็นมิวเซียมที่รวบรวมผลงานของศิลปินเวนิสหลาย ๆ คน แต่กลับต้องมาเซอร์ไพรส์ที่ได้มาเจอภาพวาดของศิลปินดัตช์สมัย 500 ปีก่อน Jheronimus Bosch ที่ถ้าเห็นภาพของเขาแล้ว ไม่ว่าใคร ๆ ก็น่าจะทายได้ว่าเขาต้องเป็นคนวาดแน่ ๆ เพราะไม่มีใครในสมัยนั้นที่วาดผลงานออกมาได้อย่างหลุดโลกขนาดนี้ เพราะเขาใช้จินตนาการวาดโลกสวรรค์ โลกนรกได้อย่างพิสดารจริง ๆ


กิจกรรมในเมือง

เสน่ห์ของเวนิสที่ได้สัมผัสอีกอย่าง ก็คือ กิจกรรมต่าง ๆ ในเมือง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วได้ไปเห็นเข้า ด้วยความบังเอิญ

ระหว่างที่นั่งพักในคาเฟ่ของพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Ca’ Pesaro ที่อยู่ติดคลอง Grand Canal ก็ได้บังเอิญเห็นขบวนพาเหรดทางน้ำ ผู้คนหลาย ๆ คนบนเรือหลาย ๆ ลำ แต่งตัวแฟนซี พายเรือกัน บางเรือก็มีคนใส่หน้ากาก นี่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของงานคาร์นิวัลหน้ากากในเมือง

และในมิวเซียมที่เดิม หลังจากที่ดูงานศิลปะเสร็จ กำลังจะเดินลงไปที่ทางออกตรงห้องโถงชั้นล่าง เจ้าหน้าที่บอกให้เดินออกไปทางบันไดลับ เพราะเขากำลังมีคอนเสิร์ตตรงห้องโถงด้านล่างอยู่

ก็เลยได้มีโอกาสฟังเพลงโอเปร่าเคล้าเสียงเปียโน มีความรู้สึกเหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของคนในเมือง ในช่วงเวลาสั้น ๆ  


โบสถ์

นอกจากโบสถ์จะเป็นแหล่งดูงานศิลปะของนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ แล้ว โบสถ์ในเมืองท่องเที่ยวอย่างเวนิสก็ยังคงจัดพิธีกรรมทางศาสนาอย่างเป็นปกติ ไม่เว้นแม้แต่ในมหาวิหารซานมาร์โค ที่จะมีโซนสำหรับสวดมนต์แยกต่างหาก

ตอนที่แวะเข้าโบสถ์ Santa Maria Gloriosa dei Frari ด้านในกำลังทำพิธีงานศพอยู่ มีเชือกกั้นให้คนทั่วไปเข้าโบสถ์ได้ถึงเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วเท่านั้น มองเห็นพิธีอยู่ไกล ๆ จึงถือโอกาสนี้เล่าให้ลูกฟังถึงเรื่องงานศพของศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธ ลูกเข้าใจเรื่องของความตายนิดหน่อยจากหนังการ์ตูนเรื่อง Coco การที่ได้มาเห็นพิธีจริงก็เป็นเรื่องที่ตื่นเต้นสำหรับเด็กห้าขวบอยู่ไม่น้อย

หน้าประตูโบสถ์ ติดการ์ดงานศพ พร้อมกับมีป้ายขอโทษที่โบสถ์ต้องงดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมชั่วคราวประมาณ 2 ชั่วโมง เพราะกำลังทำพิธีอยู่ การ์ดงานศพที่ว่านี้จะเห็นติดอยู่ทั่วไปในเมือง ตามผนังตึก หน้าร้าน มีรูปถ่าย ชื่อผู้ตาย วันเกิดวันตาย สถานที่และเวลาทำพิธี

โบสถ์ที่เวนิส นอกจากจะจุดเทียนแบบปกติแล้ว ยังมีเทียนไฟฟ้า ที่เพียงแค่วางมันลงในแท่นวางเทียนให้ตรงจุด เทียนไฟฟ้าก็จะสว่างขึ้นมาเอง

… แต่ไม่ว่าจะจุดเทียนแบบไหน จุดมุ่งหมายในการจุดเทียนก็ไม่ต่างกัน …

โบสถ์ Chiesa della Madonna dell’Orto

เรือ กับ ชีวิต

มาที่นี่เราก็สงสัยว่า เมืองท่องเที่ยวอย่างนี้ จะดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนในท้องที่ได้ที่ไหน แล้วเราก็พบคำตอบ ที่อยู่บน สายน้ำ 

ตำรวจ
เรือพยาบาล
ไปรษณีย์ส่งของ
เรือส่งของของ DHL
ส่งของให้ร้านค้าในเมือง
อาจเป็นเรือขนขยะ

น่าแปลกใจไม่น้อยที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าเวนิสจะจมหายไป แต่ตึกหลาย ๆ แห่งก็ยังมีการปรับปรุง ซ่อมแซมอยู่

พื้นที่สีเขียวมีไม่เยอะ แต่คนคงต้องการต้นไม้อยู่บ้าง ก็เลยได้เห็นเรือขนต้นไม้อยู่ประปราย

เรือเช่าขนของ

ประตูบ้านที่สะดวกต่อการขนถ่ายสิ่งของ ขึ้นหรือลงจากเรือ

ท่าเรือเล็ก ๆ คนก็จะน้อย ๆ

สัญญาณไฟจราจร

นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็ก
นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่

กอนโดล่า พายด้วยกัน ไม่เหงาดี

ปอดใหญ่ของเมือง ในย่าน Castello


ถนน หน ทาง

แถวมหาวิทยาลัย

ใกล้ ๆ สถานีขนส่งมีสวนสาธารณะกับสนามเด็กเล่น เป็นพื้นที่สีเขียวที่มีอยู่ไม่กี่แห่งในเมือง

ลานเล็ก ๆ บางแห่งมีสวนขนาดย่อม ๆ

บูธเล็ก ๆ ขายอาหารเครื่องดื่ม มีอยู่ประปราย

หมา (หรือหมี) เฝ้าบ้าน

มีความต้องการ การออกกำลังกาย

ราวตากผ้าที่มีให้เห็นประปราย

สะพานส่วนตัวเดินเข้าบ้าน แต่คงต้องเดินระวัง ๆ

หน้ากาก ของขึ้นชื่อประจำเมือง
สามารถระบายสีหน้ากากด้วยตัวเอง

ที่นี่มีรถราง หน้าตาดี

สะพาน Ponte dei Pugni กับเรือขายผักผลไม้

ป้ายที่เตรียมเอาไว้ติดข้างเรือ เพื่อบอกว่าเรือลำนี้วิ่งผ่านท่าเรือไหนบ้าง

ทางเดินเลียบคลอง แถว ๆ โบสถ์ Madonna dell’Orto

บ้านคนมีเงิน ที่ถูกแต่งตัวอย่างดี

แต่บ้านบางหลัง ก็ไม่ได้รับการดูแลอย่างดีเท่าไร

หน้าต่าง ในสมัยที่ยังไม่ผลิตกระจกแผ่นใหญ่ ๆ

แดดอุ่น ๆ

เพื่อนร่วมเดินทาง

นักท่องเที่ยวเดินเท้า กับนักท่องเที่ยวนั่งเรือ

นักท่องเที่ยวบนสะพาน Ponte della Paglia ยืนดู Bridge of Sighs

ถ่ายจาก Bridge of Sighs ทางเดินสู่คุกใต้ดิน โบสถ์ด้านหลังคือ Church of San Giorgio Maggiore จากหอคอยโบสถ์จะเห็นวิวเวนิสทั้งเกาะ

วิวที่เห็นจาก Bridge of Sighs อีกด้าน ก่อนมุ่งหน้าสู่คุกใต้ดิน

คุกใต้ดินกับประตูคุกอย่างหนา

แม้แต่ในคุก ก็ยังคงมีพื้นที่เล็ก ๆ ให้ได้พักพิงทางใจ

นักท่องเที่ยวเนืองแน่นแถวจตุรัสซานมาร์โค

กับโบสถ์ Santa Maria Della Salute ฝั่งตรงข้าม

มหาวิหารทรงหัวหอม ซานมาร์โค

ปิดท้าย ด้วยภาพที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของเวนิสในอดีตค่ะ


(เดินทางปี 2018, ปลายมกราคม)