รู้จักชื่อเมือง Wuppertal มานานแล้ว จากไฮไลท์ของเมือง นั่นก็คือ รถไฟแขวน (The Suspension Monorail) หรือภาษาเยอรมันเรียกว่า ชเวเบ่อะบาน (Schwebebahn)
ในที่สุดก็ได้มีโอกาสแวะไป Wuppertal ระหว่างการเดินทางจาก Düsseldorf ไป Dortmund พอเดินออกจากสถานีรถไฟหลัก Wuppertal Hbf จะเห็นรถไฟแขวน วิ่งออกมาจากตึกด้านซ้ายมือที่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร ตรงนั้นคือสถานี Hauptbahnhof หรือชื่อเดิมคือ Döppersberg
พอเดินมาถึงสถานีก็ต้องแปลกใจเล็กน้อย ที่ร้านหลายร้านใต้สถานีปิดตัวลง ดูโหวงเหวงถึงแม้จะเห็นร่องรอยความคลาสสิคของสถานีที่สร้างในปี 1926 อยู่บ้างก็ตาม อดคิดไม่ได้ว่าถ้าสถานีได้รับการเอาใจใส่มากกว่านี้ คงจะออกมาดูสวยพอตัวเลย พอขึ้นบันไดไปรอรถไฟแขวนบนชั้นสอง ถึงได้รู้ว่าผู้คนมารวมตัวกันด้านบนนี่เอง
ช่างบังเอิญว่าวันนั้น รถไฟแขวนเพิ่งเปิดใช้งานเพียงแค่ไม่กี่วัน หลังจากปิดซ่อมอยู่เกือบ 9 เดือน เป็นการปิดซ่อมที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งพวกเราไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน กลับมาคราวนี้รถไฟแขวนมากับขบวนใหม่ประหยัดพลังงานทั้งหมดชื่อว่า Generation 15 กับสีฟ้าละมุน ที่เริ่มออกวิ่งในปี 2016 และได้รับรางวัล IF DESIGN AWARD ปี 2017 รถไฟแขวนวิ่งในระยะทาง 13 กิโลเมตร กว่า 20 สถานี ซึ่งส่วนใหญ่วิ่งอยู่เหนือแม่น้ำ Wupper
ความคิดที่จะสร้างรถไฟแขวนนั้นมีมาตั้งแต่ปี 1887 แต่เริ่มก่อสร้างตั้งแต่หน้าร้อนปี 1898 และเปิดให้ประชาชนได้ใช้รถไฟครั้งแรกวันที่ 1 มีนาคม 1901 ระหว่างสถานี Kluse และสถานี Zoo จากนั้นเดือนพฤษภาคมปีเดียวกันได้เปิดใช้เส้นทางจากสถานี Zoo ไปสถานี Vohwinkel และสุดท้ายเปิดสถานีขยายจาก Kluse ไปสถานี Rittershausen (หรือ Oberbarmen ในปัจจุบัน) ในวันที่ 27 มิถุนายน 1903
ตอนที่เดินขึ้นรถไฟแขวนครั้งแรก รู้สึกเหมือนเดินเข้าเคเบิ้ลคาร์ โบกี้รถไฟมันก็จะสั่น ๆ อยู่นิดหน่อย ก็มันห้อยมาจากรางนี่นา! ในขบวนรถไฟสั้น ๆ มีผู้โดยสารแน่นขนัด ที่นั่งด้านท้ายขบวนที่ติดกับหน้าต่างใหญ่ เป็นที่นั่งที่เหมาะมากกับการชมวิวแม่น้ำ วันนั้นที่นั่งตรงนี้ถูกจับจองจากหลาย ๆ ครอบครัวค่ะ เด็กบางคนมานั่งรถไฟเล่นกับปู่ย่าตายาย เห็นแล้วก็ดูน่ารักมากเลย
เห็นเด็กวัยประถมหลายคนขึ้น Schwebebahn เองโดยไม่มีผู้ปกครอง ทำให้รู้สึกว่าเมืองนี้ดูปลอดภัยดีจัง ประทับใจกับมารยาทของเด็กที่นี่มาก มีเด็กจ้ำม่ำคนหนึ่งอายุประมาณ 10 ขวบ น้ำใจงาม สละที่ให้เรานั่ง คงเห็นว่ายืนสะพายเป้ใบโตอยู่ ตอนแรกก็นึกว่าเด็กเขาใกล้จะลงรถไฟแล้ว แต่ที่ไหนได้ เขายืนอีกหลายป้ายเลย เรียกให้มานั่งก็ไม่มา ก็เป็นความประทับใจเล็ก ๆ กับนิสัยที่น่ารักของคนในเมืองนี้ค่ะ
ขอปิดท้ายด้วยภาพบรรยากาศในเมือง ตอนแรกเพื่อนร่วมทางอยากลองนั่งคาเฟ่ของโบสถ์ดู เพราะเขาไม่เคยเห็นมาก่อนว่าโบสถ์มีร้านขายเครื่องดื่มด้วย เผอิญพวกเราไปนั่ง outdoor กันผิดฝั่ง ถ้านั่งอีกด้านหนึ่งของโบสถ์จะเป็นคาเฟ่โบสถ์ แต่โต๊ะที่เรานั่งด้านนอกเป็นของร้านปกติ ที่ดูเหมือนจะเป็นร้านดังในเมือง ไอติมอร่อยมากค่ะ
(เดินทาง August, 2019)